Me and my Hasselblad
ผมเรื่มทำงานเป็นผู้ช่วยช่างภาพเมื่อปี 2532 ตอนอายุ 18 ปี
คุณพ่อป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ทำงานไม่ได้แล้ว แม่คงลำบากมากๆ ถ้าต้องส่งผมเรียนอีกคน..ผมเริ่มมองหาอนาคตให้กับตัวเอง..
ผมต้องทำงาน..และส่งตัวเองเรียน..เพราะคิดว่า..ผมน่าจะทำอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์หรือให้แม่ชื่นใจได้บ้าง อย่างน้อยๆ ได้ปริญญาบัตรสักใบก็คงดี..
ผมชอบเดินทาง ชอบถ่ายรูป ชอบพบปะผู้คน..ผมน่าจะเหมาะกับงานอย่างนี้
Hasselblad กับผมเริ่มรู้จักกันตั้งแต่วันแรกๆ ของการทำงานที่ Picture Project Studio
Hasselblad ตัวแรกที่ผมเห็นเป็นของอาจารย์ปู่ ( Paul Montri ) ท่านเป็นช่างภาพนักเรียนนอกอังกฤษ มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก เป็นคนเก่งและมีฝีมือ Hasselblad ก็เลยติดตามาแต่คราวนั้น ไม่ค่อยได้จับ ถ้าท่านไม่อนุญาติ ตอนหลังก็มีของอาจารย์ผมอีกคนคือพี่ Sab ( Suwat Supachawinswat ) ที่หยิบเจ้า 500CM มาให้ผมได้จับเล่นเป็นบางครั้งคราว สลับกับการนำเจ้า Hass เข้าออกโรงตึ้งของอาจารย์ผมอีกคน ( ภาสกร (นิรันดร์) ภาวิไล ) เพื่อเพิ่มสภาวะคล่องให้กับ Studio เล็กๆ ที่จะเติบโตและยิ่งใหญ่ในอนาคต
ผมชื่นชอบ Hasselblad ไม่ใช่เพราะคุณภาพของมันอย่างเดียว..แต่เพราะคนที่ใช้ Hass ที่ผมรู้จักล้วนเป็นคนดี คิดดี..เป็น Epitome ของผม แต่ถ้าจากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมาเป็นไปในทางตรงกันข้าม ผมอาจจะเกลียด Hasselblad ก็ได้…
Me and My Hasselblad
เป็นเรื่องของการเดินทางและการใช้ชีวิตของผมกับ Hass ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ
ผมไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น นอกจากเอาเรื่องราวมาแบ่งปันกันอ่านหรือชมภาพ เพื่อเป็นข้อมูล สาระและความรู้
วังเวียง..สวรรค์บนดิน..ที่ยังพอพบเห็นได้..
ใครที่เคยทางไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน..คงจะได้เห็นบรรยกาศอบอุ่นและเงียบสงบ ผมเคยเดินทางผ่านและได้มีโอกาสเห็น ทำให้ผมนึกถึงสมัยผมเป็นเด็ก ผมจึงถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน Hasselblad ของผม
……..
รูปแต่ละรูปมีความหมายในตัวของมันเอง.. มันอาจจะไม่มีความหมายสำหรับใครหรือจะสื่อถึงอะไร
แต่อย่างน้อย..มันควรจะสื่อความหมายของตัวผู้ถ่ายก่อน…คือรู้สึกอะไรถึงถ่ายภาพนี้.. ( ยอด…ภากร ไม้เรียง..)
เป็นคำพูดของลูกศิษย์ที่แวะมาสนทนาด้วยระหว่าง up load รูป ผมว่าฟังดูเข้าท่าดี..ผมเห็นรูปสวยๆ มาจากคนธรรมดาเยอะมาก ในขณะที่รูปจากช่างภาพดังกลับเป็นภาพที่เป็นรูปแบบสวยงาม แต่ด้อยด้วยความหมายในบางภาพ..
ความหมายไม่ต้องหาให้ยากในความคิดของผม…ก็หาจากสื่งที่มันมี มันไม่มีก็ไม่ต้องไปสร้างให้มัน..
เรื่องเล่าของผมก็จะผ่านภาพที่พบเห็น สมัยยังเด็กผมก็แก้ผ้าโดดน้ำอย่างนี้แหล่ะ ทำให้นึกถึงตัวเอง..
ความสุขในวัยเด็กของผมที่หายไปแล้วตามกาลเวลา..จนผมมาเจอที่นี่..วังเวียง..ประตูทางผ่านสู่นครหลวงในอดีตของลาว…
คนที่อยู่ในเมืองกรุงชอบเรียก…ลาว… เพียงเพราะเขาซื่อ มีน้ำใจ ขยันทำงาน รักเพื่อน กินข้าวเหนียว..
แต่ผู้ดีก็ชอบเรียก “ลาว” เวลาตัวเองโกรธและต้องการให้ผู้อื่นด้อยกว่า…
แปลกเหมือนกัน..มีตั้งหลายอย่างที่จะทำให้ตัวเองดูดีได้..แต่คนด้อยปัญญาเลือกใช้วิธีที่เป็นลบ…
ลาวหรือคนลาว เป็นคนบ้านพี่เมืองน้อง..สิ่งที่ทำให้เราแยกประเทศกันมีเพียงฝรั่งเศสและแม่น้ำโขงเท่านั้น
ถ้าให้เลือกคบระหว่างเขมรกับลาว..คุณจะเลือกคบใคร ? …เก็บคำตอบไว้ในใจพอครับ..ผมไม่อยากให้เป็นประเด็นทางการเมือง
คนที่นี่น่ารักมาก ผู้หญิงอัธยาศัยดี พูดไทยได้ชัดและพูดได้ดีกว่าพม่าพูดไทย กินข้าวเหนียว แต่จมูกโด่งได้รูปผิวขาวไม่มาก แต่ก็ไม่เห็นมีใครดำปึ๊ด ส่วนใหญ่ผมยาว เนื้อตัวไม่ติดกลิ่นเปรี้ยว พูดจาไพเราะ..โดยไม่ต้องให้ใครมาสั่งสอน อยู่กับถนนลูกรังไม่สะอาดเอี่ยมอ่อง แต่ก็สะอาดสะอ้าน ยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งๆ ที่อากาศก็ร้อน
ผู้ชายส่วนใหญ่พูดน้อย มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ยิ้มแย้ม เป็นมิตร
มีอาจารย์ท่านหนึ่ง(ชื่อเหมือนผม สอนที่คณะวิทยาฯ จุฬาฯ ) ที่ผมรักและนับถือมาก ท่านเคยพูดถึงวังเวียงไว้ว่า..ถ้าจะไปหลวงพระบาง
ให้แวะฟังเสียงน้ำซองไหลจ๊อกๆๆๆ ขับกล่อมยามเรานอน สงบ ไพเราะ และได้บรรยากาศดีมาก
เมื่อผมมีโอกาสผมจึงทำตามที่ท่านแนะนำ..มีเรื่องประทับใจหลายเรื่องเกิดขึ้นที่นี่ ตั้งแต่รูปสวยๆ เด็กซื่อๆ น่ารัก ผู้คนล้วนเป็นมิตร รอยยิ้ม ไมตรีจิต เสียงน้ำซองไหลจ๊อกๆ
รวมทั้งเสียงของคู่รักที่ดังมามาจากโรงแรมเรือนไม้ประยุกต์ยกใต้ถุนสูง..ที่ผมบังเอิญเดินผ่านจะเข้าห้องน้ำ…
มีเสียงไพเราะและจังหวะของความรักลอดช่องฝาไม้ที่ปริ..ผ่านออกมาให้ได้ยินเบาๆ นัยว่าคงต้องการผมเป็นพยานในความรักของทั้งสอง
ผมไม่กล้าขยับเท้าเดินอีกเพราะกลัวเสียงของรองเท้าที่กระทบใบไม้แห้งกรอบแกรบๆ จะทำให้จังหวะของความรักสะดุด ด้วยความเป็นคนดีของผม..( หรือเพราะกลัวเขาตกใจ ) ผมเลยฟังไปยิ้มไปจนจบเพลง.เออ..เพราะดีนะ..พรุ่งนี้ต้องดูหน้าตาให้ได้…
เช้าอันสดใสในวันนั้น…ผมรีบตื่นก่อนเพื่อนๆ.. ( เปล่า..ไม่ได้ไปเก็บรูปพระอาทิตย์ขึ้น..แต่จะไปดูหน้าสาวที่ร้องเพลงข้างห้องเมื่อคืน….
เธอ……ออกไปข้างนอกกับคนรักแต่เช้าแล้ว…
ผมสัมผัสไออุ่นกับวังเวียงอยู่ 1 วันกับ 1 คืนเต็มๆ เห็นบรรยากาศเดิมๆ ภูเขาหินปูน สูงๆ ต่ำๆ ที่ผมเคยจนจนเจนตาแถวๆ สระบุรี มาโผล่ที่นี่ พระอาทิตย์ยามเช้ายังกลมสวย ผมยังสงสัยเลยว่า มันดวงเดียวกับที่ผมเคยเห็นที่หน้าบ้านตัวเองรึเปล่า..ทำไมมันถึงงดงามต่างกันนัก..
ผู้คนที่นี่ยิ้มให้ผม..คนเมืองกรุงยิ้มให้ผมเหมือนกันแต่เชื้อเชิญให้ใช้บริการรถซิ่ง เพื่อหนีรถติดในราคาที่คุณกินข้าวที่นี่ได้หนึ่งวันเต็มๆ มีเหลือเป็นทิปอีกด้วย..
ความทรงจำยังมีต่อ..ที่หลวงพระบาง….
ข้อมูลถ่ายภาพ ภาพมุมกว้าง Lens Carl Zeiss Distgon 40mmCFE T*
ภาพมุมแคบ Lens Carl Zeiss Sonnar 150mm CF F4 T*
Camera Hasselblad 553EL/X
Yut Hasselblad