500C+-Mag-A12_6 copy

History of the Hasselblad 500 V systems

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า 500 ของ Hasselblad 500 Series ก่อนนะครับ
ก่อนหน้านี้ Hasselblad ได้ผลิตกล้องรุ่น 1600, 1600F และ 1000F ออกสู่ตลาด สร้างความตื่นตาตื่นใจกับกล้อง Medium format ที่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นบนโลกและอยู่ในกล้องตัวนี้
Hasselblad 1000 series มีเลนส์ที่เป็นแบบเขี้ยว ถอดและใส่เลนส์ได้อย่างง่ายดาย
(แตกต่างจากเลนส์ในกล้องอื่นๆ ทั้งที่เป็นแบบใช้ฟิล์ม 135 และ ฟิล์ม 120 ในยุคนั้นซึ่งยังเป็นแบบเมาท์เกลียว)
Eastman Kodak เป็นผู้ผลิตเลนส์ให้กับ Hasselblad ทั้งนี้เพราะ Carl Zeiss ยังไม่ได้ตกลงที่จะผลิตเลนส์ให้ในขณะนั้น
ระบบ Shutter เป็นแบบโลหะ Shutter Unit อยู่ที่ตัวกล้อง ทำให้ Flash Synchronisation ได้สูงสุดไม่เกิน 1/60s นี่เป็นข้อจำกัดของกล้องทั้ง 2 Series และ 3 รุ่นนี้
Shutter แบบโลหะทำงานได้ดีแต่ก็มีข้อเสียคือ ม่านยับและติด เสียหายบ่อยมาก เพราะต้องทำงานที่ความเร็วสูงถึง 1/1600s และ 1/1000s
ระบบ Shutter แบบใหม่จึงถูกคิดค้นเพื่อเข้ามาแก้ปัญหานี้ในเวลาต่อ
Synchro Compur (ชื่อนี้ปรากฏอยู่บนเลนส์ Carl Zeiss Chrome and Black ทั้งรุ่น C และ C T* version ( อ่านว่า..ทีสตาร์)) จาก Germany เป็นผู้ออกแบบเลนส์พิเศษนี้ให้กับ Hasselblad
ความจริง Shutter Units ที่ Synchro Compur ออกแบบมาใช้กับเลนส์ Carl Zeiss นั้น ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีอยู่ในเลนส์ของกล้อง Large Format และ Twins Lens Reflect รุ่นอื่นๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยมี Shutter Unit
อยู่ที่เลนส์ (คือมีทั้ง F-stop และ Shutter speed อยู่ที่เลนส์ในตำแหน่งติดกัน แทนที่จะแยกกันอยู่ในตัวกล้องและที่เลนส์เหมือนกล้อง 135 และ 120 ชนิดอื่นๆ ในยุคนั้น)
เลนส์ที่ออกแบบมาใหม่นี้ (เรียกว่า Leaf Shutter Unit = มีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบางๆ วางซ้อนกันคล้ายใบไม้ = Leaf= ผู้เขียน)
มี Shutter Speed สูงสุดอยู่ 1/500s แต่สามารถ Flash Synchronisation ได้ทุกความเร็วและได้สูงถึง 1/500s ซึ่งไม่มีกล้อง SLR หรือ Medium Format ในสมัยนั้นทำได้เลย
หรือแม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน
นี่เป็นที่มาของคำว่า….500 (และเติมคำว่า C ไว้ต่อท้าย 500 เป็น 500C เพื่อให้เกียรติแด่ Compur)
Hasselblad 500C

_MG_8475
The first 500 series generation
ถือกำเนิดขึ้นในปี 1957-1969 (ปี พ.ศ. 2500-2512 จำง่ายๆ) หลังจากที่รุ่น 1600,1600F,1000F เลิกผลิตไปแล้ว
Hasselblad 500 Series ถือเป็นต้นแบบกล้องรุ่นอื่นๆ ในเวลาต่อมา เพื่อตอบสนองการใช้งานของช่างภาพในหลากหลายสาขาอาชีพเช่น Fashion Architecture Landscape etc.
คุณลักษณะของกล้องรุ่น 500c ของ Hasselblad 500 sereis มีอะไรที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้บ้าง เรามาดูรายละเอียดกัน
เลิกใช้ Shutter Unit แบบ Focal plane ที่ตัวกล้องโดยย้ายไปอยู่ที่เลนส์ เป็นแบบ Leaf Shutter
Flash Synchronisation B, 1-1/500s
ถอดเปลี่ยน Winding Knob ที่ขึ้นฟิล์มเป็นแบบก้าน ( Winding crank )ในกล้องรุ่นต่อๆ มาได้
ใช้เลนส์ Carl Zeiss Chrome type 80mm F2.8 สีเงิน B50 Bayonet mount เป็นเลนส์ตัวแรก
Magazine แบบ C12 โหลดฟิล์มและดูตัวเลขจากหลังตลับฟิล์ม บิดปุ่ม Reset พร้อมถ่ายเมื่อมองเห็นตัวเลข 1 ที่ด้านหลังของตลับ
Hasselblad 500C/M

 

IMG_3307
The middle age of 500 series, the 2nd generation
มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในปี 1970-1979 (พ.ศ.2513-พ.ศ.2523)
ในความเป็นจริงแล้ว Hasselblad 500c ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ยังคงทำงานได้ดีและได้รับความนิยมในหมู่ช่างภาพมืออาชีพทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ Products Innovation ก็ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องธรรมดา
Focusing screen ในรุ่น 500c ซึ่งเป็นแบบตายตัว ถอดเปลี่ยนได้ยาก ถูกพัฒนาให้ถอดเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัส
เป็นที่มาของคำว่า..500C/M (M = Modified ซึ่งหมายถึงได้การดัดแปลงแก้ไขให้ดีขึ้น=ผู้เขียน)
Hasselblad 500 Series ในรุ่นที่ 2 จึงถูกเรียกว่า 500C/M แทน 500c ตั้งแต่นั้น (Hasselblad 500C/M รุ่นที่ 2 ผลิตตั้งแต่ปี 1970-1979)
คุณลักษณะของ 500cm พอสังเขปมีดังนี้
เปลี่ยน Winding knob เป็น Winding crank ที่ขึ้นฟิล์มง่ายขึ้น แทนของเดิมที่เป็นแบบหมุน
Lens Carl Zeiss 80mm f2.8 Black C T* สีดำ B50 Bayonet mount ติดมากับตัวกล้อง แทนสีเงิน Bronze Lens C type ไม่มี T*
( Black T* Lens เป็น Multicoating layers lens ได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะมีข้อดีหลายๆ ประการเช่น ลดแสงแฟลร์ เพิ่มความคมชัด สีสันถูกต้องสมจริงมากขึ้น)
มี Focusing screen หลายแบบให้เลือกใช้ เช่น split image, micro prism image etc.
Magazine เป็นแบบ A12 หยุดอัตโนมัติที่เลข 1 เมื่อโหลดฟิล์มพร้อมใช้งาน
มี Black body เป็นทางเลือกของคนที่ชอบสีดำทั้งตัวกล้อง เลนส์ และตลับฟิล์ม
Hasselblad 500C/M

 

500CM_0124
The 500 series, the 3nd generation
เริ่มออกสู่ตลาดราวๆ ปี 1980-1990 (ปี 1990-1994 Hasselblad ขายเป็น set มีเลนส์ กล้องและตลับฟิล์มเป็นชุดในชื่อ 500CM Classic)
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดและเป็นรูปลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยขึ้น เข่น มี Focusing screen “Acute Matt D screen” ที่มีความสว่างมาก โฟกัสได้ง่ายขึ้นในสภาพแสงน้อยๆ
ที่ออกแบบโดย Minolta เริ่มมีใช้งานในยุคนี้
คุณลักษณะเด่นๆ ของ Hasselblad 500cm ในยุคที่ 3 นี้ พอสรุปได้ดังนี้
เลนส์ CF T* เริ่มใช้ใน Hasselblad รุ่นนี้ โดยมี 80mm F2.8 CF T* B60 Bayonet mount เป็นเลนส์ติดกล้อง
Waist level finder hood เป็นบานพับแบบใหม่ เปิดปิดพับเก็บง่ายและสะดวกว่ารุ่นเดิมก่อนหน้านี้
ตัด Function ที่ใช้ร่วมกับ Flash ชนิดหลอด ในรุ่น ที่ 1และ 2 ออกไป (สังเกตุดูจากด้านข้างต่ำกว่าป้ายบอกรุ่น) เป็นหนังแบบเรียบๆ แทน
Film back หรือ Film magazine ออกแบบใหม่ โดยมีช่องเสียบฝากล่องแสดงยี่ห้อหรือชนิดของฟิล์มที่ใช้ด้านหลัง เปลี่ยนจากแบบบานพับเป็นแบบสอด มีตัวเลขที่ปุ่มถอดตลับฟิล์มระบุไว้ เป็น 12,16,24 นอกนั้นเป็นแบบเดิมๆ
มีสีดำ Black trim body ให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเคร่งขรึมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (ช่วยลดการสะท้อนของกล้องเข้าไปในวัตถุมันวาวเวลาถ่ายภาพได้ด้วย)
Hasselblad ผลิตกล้องรุ่น 500 series มาอย่างยาวนานรวม 37 ปี นอกจากมีกล้อง 500 series อื่นๆ ตั้งแต่ปี 1957-1994 เช่น 500EL, 500EL/M, 500ELX, 553 ELX ในรุ่นที่ใช้ motor ในการขับเคลื่อนฟิล์มแทนการใช้มือหมุนขึ้นฟิล์มหรือชึ้นชัตเตอร์ สำหรับช่างภาพแฟชั่นหรือพอร์ทเทรทในสตูดิโอ ก่อนแยกสายการผลิตเป็น 501และ 503 series ในปีหลัง 1994
นอกจากนี้ยังมีรุ่น 900 series เช่น Super Wide C, SWC, SWC/M, 903, 905 ติดเลนส์ 38mm Biogon F4.5 T* ตายตัว ถอดเปลี่ยนไม่ได้เหมือนรุ่นอื่นๆ สำหรับช่างภาพแนว Landscape และ Architecture
กล้อง 2000 series ที่ผลิตโดยใช้ต้นแบบจาก 1000 series โดยมี shutter แบบ focal plane ที่ตัวกล้อง ใช้เลนส์ F series ที่ไม่มี shutter ที่ตัวเลนส์เหมือนเลนส์ C, CF ก่อนพัฒนาเป็นรุ่นไฟฟ้าเต็มตัวใน 200 sereis ในที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อหาสาระของกล้องเฉพาะรุ่น 500 series ส่วนในกล้องรุ่นอื่นๆ จะนำมาเล่าสูกันฟังเพื่อเป็นความรู้และเป็นข้อมูลในโอกาสต่อไป
กล้องถ่ายภาพทุกชนิดบนโลกใบนี้จะมีความหมายและคุณค่าของมันเมื่อมันได้ทำหน้าที่ แทนการนอนอยู่ในตู้ดูดความชิ้นหรือห้อยอยู่บนคอเพื่อแสดงสถานะอย่างอื่นที่ไม่ใช่กล้องถ่ายภาพ ย่อมไม่มีความหมายและไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย
หยิบกล้องของเราออกมาถ่ายภาพดีๆ กันเถอะ..เพราะผมเชื่อว่า..
ภาพที่ดีที่สุดในโลกยังไม่ได้ถูกถ่าย…

Yut Hasselblad